Thursday, November 21, 2024
Google search engine
Homeข่าว5 ความเสี่ยงจากการวางยาสลบสัตว์เลี้ยง ที่เจ้าของต้องรู้

5 ความเสี่ยงจากการวางยาสลบสัตว์เลี้ยง ที่เจ้าของต้องรู้

11 พฤศจิกายน 2567

เมื่อสัตว์เลี้ยงของคุณต้องเข้ารับการผ่าตัด อาจเป็นช่วงเวลาที่สร้างความกังวลใจให้กับเจ้าของได้ไม่น้อย หลายคนมักให้ความสำคัญกับผลลัพธ์หลังการผ่าตัดมากกว่าขั้นตอนที่เกิดขึ้นระหว่างการผ่าตัดเอง

อย่างไรก็ตาม ยาชาเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการผ่าตัด และมักมาพร้อมกับความเสี่ยงบางประการที่ควรพิจารณา เพื่อให้การผ่าตัดของสัตว์เลี้ยงเป็นไปอย่างปลอดภัยและราบรื่น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการตั้งคำถามที่เหมาะสมกับสัตวแพทย์ก่อนการผ่าตัด จะช่วยเพิ่มความมั่นใจและลดความกังวลได้มากขึ้น

ความเสี่ยงจากการวางยาสลบสัตว์เลี้ยง

1. ทำไมสัตว์เลี้ยงจึงต้องใช้ยาสลบ

ดร.ลินน์ คุชเนอร์ สัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการให้ยาสลบและอาจารย์ กล่าวว่า การใช้ยานอนหลับหรือยาสลบในสัตว์เลี้ยงขึ้นอยู่กับลักษณะของการรักษา หรือสิ่งกระตุ้นที่สัตว์เลี้ยงต้องการ โดยสัตวแพทย์ไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ หากสัตว์ยังสามารถเคลื่อนไหวหรือกัดอุปกรณ์ต่างๆ ได้

วิธีเดียวที่จะทำให้สัตว์ยอมรับการใส่ท่อช่วยหายใจได้คือต้องทำให้สัตว์หมดสติดร.คุชเนอร์กล่าว พร้อมเสริมว่ายิ่งขั้นตอนการรักษามีความเจ็บปวดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องใช้ยาสลบในระดับที่ลึกมากขึ้นเท่านั้นในกรณีที่ขั้นตอนการรักษาไม่ซับซ้อน เช่น การอัลตราซาวนด์ การเปลี่ยนผ้าพันแผล หรือการรักษาบาดแผลเล็กน้อย มักจะใช้ยานอนหลับ ซึ่งส่งผลเบากว่ายาสลบ

สัตว์เลี้ยงบางตัวอาจได้รับ ยาสลบเฉพาะที่ เพื่อช่วยลดความรู้สึกเฉพาะบริเวณที่ทำการรักษา เช่น การตัดเนื้องอกขนาดเล็ก ในขณะที่ ยาสลบทั่วตัว จำเป็นสำหรับการรักษาที่ซับซ้อนหรือการผ่าตัดใหญ่ เช่น การทำหมัน การผ่าตัดเนื้องอก การรักษากระดูกหัก การเย็บแผล หรือการผ่าตัดฉุกเฉิน ในสภาวะนี้ สัตว์เลี้ยงจะหมดสติและไม่สามารถตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นใดๆ ได้

ดร.คุชเนอร์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ยาสลบทั่วตัวมีความสำคัญในการรักษาปัญหาเกี่ยวกับฟัน เช่น การขูดหินปูน เพื่อป้องกันทางเดินหายใจของสัตว์และช่วยให้การหายใจเป็นปกติระหว่างขั้นตอนการรักษา

2. น้ำหนักของสัตว์เลี้ยงของคุณ

น้ำหนักของสัตว์เลี้ยงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อปริมาณยาที่ใช้รักษา หากน้ำหนักของสัตว์เลี้ยงเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงเพียงเล็กน้อย สัตวแพทย์จำเป็นต้องปรับปริมาณยาให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัวของสัตว์ เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพและปลอดภัย ซึ่งกระบวนการนี้ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนในการประเมินและปรับเปลี่ยน

สำหรับสัตว์เลี้ยงขนาดเล็ก มักต้องการยาในปริมาณที่น้อยกว่าสัตว์ขนาดใหญ่ เนื่องจากมีมวลกล้ามเนื้อและไขมันน้อยกว่า ทำให้การกระจายของยาในร่างกายช้ากว่า ดร. ฮอปกินส์ระบุว่าเมื่อไม่มีไขมันให้ยาสะสม ยาจะคงอยู่ในร่างกายนานขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อหัวใจได้มากขึ้น นอกจากนี้ สัตว์เลี้ยงที่ผอมมากมักจะรู้สึกหนาวง่าย ความดันโลหิตอาจลดลงในระหว่างที่ได้รับยาชา และอัตราการเผาผลาญต่ำลง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรักษาอุณหภูมิร่างกายให้อบอุ่นในระหว่างการผ่าตัด

ในทางกลับกัน สัตว์เลี้ยงที่มีน้ำหนักเกินก็อาจเผชิญกับความท้าทายในการผ่าตัดเช่นกัน ไขมันส่วนเกินอาจกดทับอวัยวะภายใน ส่งผลให้การหายใจลำบาก ดร. คุชเนอร์กล่าวว่าไขมันและเนื้อเยื่อที่สะสมตามผนังอกอาจรบกวนการทำงานของปอด ทำให้สัตว์เลี้ยงหายใจไม่สะดวก ในบางกรณีอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อให้สัตว์เลี้ยงสามารถหายใจได้ในระหว่างการผ่าตัด

3. แมวกับสุนัข

เนื่องจากแมวมีนิสัยเฉพาะตัวและไวต่อการเปลี่ยนแปลง การให้ยาสลบแก่แมวจึงมักซับซ้อนและเสี่ยงกว่าสุนัข ดร. คุชเนอร์กล่าวว่าแมวมักไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการตรวจรักษา และมีอารมณ์แปรปรวน ทำให้การควบคุมแมวยากกว่าสุนัข

ขนาดตัวที่เล็กของแมวยังเพิ่มความยากในการตรวจวัดสัญญาณชีพ เช่น การใส่สายสวนเพื่อวัดความดันโลหิตในแมวมักซับซ้อนกว่าสุนัข เนื่องจากหลอดเลือดของแมวมีขนาดเล็ก อีกทั้งแมวยังมีแนวโน้มเกิดอาการเกร็งของกล่องเสียงขณะใส่ท่อช่วยหายใจ ซึ่งอาจทำให้การใส่ท่อเป็นเรื่องท้าทายและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ

ในทางกลับกัน สุนัขขนาดใหญ่ก็เผชิญความท้าทายที่แตกต่างออกไปในการให้ยาสลบ ดร. ฮอปกินส์ระบุว่าการดูแลสุนัขขนาดใหญ่ต้องระมัดระวังเรื่องการจัดท่าทางและการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย เพราะพื้นที่ผิวสัมผัสของสุนัขใหญ่มีสัดส่วนน้อยกว่ามวลร่างกาย ทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียความร้อน

สรุปแล้ว การให้ยาสลบแก่แมวและสุนัขนั้นมีความซับซ้อนแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับขนาด รูปร่าง และพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงแต่ละตัว สัตวแพทย์จำเป็นต้องมีความรู้และประสบการณ์เฉพาะเพื่อให้การรักษาปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

4. สายพันธุ์สัตว์เลี้ยงของคุณ

สัตว์เลี้ยงบางสายพันธุ์มีความเสี่ยงสูงต่อการดมยาสลบ เนื่องจากลักษณะทางกายภาพที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจและการฟื้นตัวหลังจากได้รับยาสลบ

สำหรับแมวและสุนัขพันธุ์หน้าแบน หรือที่เรียกว่า brachycephalic เช่น ปักกิ่ง บอสตันเทอร์เรีย ปั๊ก หิมาลายัน และเปอร์เซีย มักเผชิญปัญหาในการหายใจ เนื่องจากมีช่องจมูกและทางเดินหายใจส่วนบนที่แคบ ทำให้การดมยาสลบและการฟื้นตัวซับซ้อนยิ่งขึ้น ดร.ฮอปกินส์กล่าวว่าสัตว์พันธุ์หน้าแบนมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนระหว่างการดมยาสลบ เพราะมีปัญหาในการหายใจโดยธรรมชาติ การดมยาสลบจะเพิ่มความรุนแรงให้กับปัญหานี้

นอกจากนี้ สุนัขพันธุ์ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดลม เช่น พุดเดิ้ล ยอร์คเชียร์เทอร์เรีย และปอมเมอเรเนียน ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน เนื่องจากหลอดลมของพวกมันมีแนวโน้มที่จะยุบตัวได้ง่าย การใส่ท่อช่วยหายใจระหว่างการผ่าตัดอาจทำให้หลอดลมเกิดการอักเสบหรือระคายเคือง ส่งผลให้สุนัขมีอาการไอและหายใจลำบากหลังการผ่าตัด

สำหรับเจ้าของสุนัขที่มีปัญหาหลอดลมยุบ ควรตระหนักว่าสัตว์เลี้ยงของตนอาจมีอาการไอเรื้อรังหลังการผ่าตัด และอาจต้องได้รับการดูแลเพิ่มเติมจากสัตวแพทย์ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะ สเตียรอยด์ หรือยาระงับอาการไอ เพื่อบรรเทาอาการและลดการอักเสบหรือการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น

5. ความเสี่ยงในการดมยาสลบของสัตว์เลี้ยง

โดยทั่วไปแล้ว ความเสี่ยงที่เกิดจากการดมยาสลบในสัตว์เลี้ยงถือว่าต่ำมาก โดยเฉพาะในสัตว์เลี้ยงที่มีสุขภาพดี อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบางอย่างอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความปลอดภัยในระหว่างการดมยาสลบได้

จากการศึกษา พบว่าสัตว์เลี้ยงที่มีสุขภาพสมบูรณ์มีโอกาสเสียชีวิตระหว่างการดมยาสลบน้อยมาก แต่ในกรณีที่สัตว์เลี้ยงมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ โรคไต หรือเบาหวาน ความเสี่ยงในการดมยาสลบจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดร. คุชเนอร์ ได้แนะนำว่า หากสัตว์เลี้ยงของคุณมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดมยาสลบ เพื่อประเมินและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนการวางยาสลบสัตว์เลี้ยง

  1. อายุ : สัตว์เลี้ยงที่มีอายุมากหรือสุขภาพไม่สมบูรณ์ อาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นเมื่อต้องรับการดมยาสลบ
  2. ประวัติการรักษา : โรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ หรือโรคไต มีผลต่อการตอบสนองต่อยาชาและอาจเพิ่มความเสี่ยงในระหว่างการดมยาสลบ
  3. ความรุนแรงของโรค : ความรุนแรงของโรคประจำตัว เช่น การทำงานของอวัยวะที่บกพร่องมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
  4. ระยะเวลาของการผ่าตัด : การผ่าตัดที่ใช้เวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการดมยาสลบ เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือการหยุดหายใจ

การเตรียมความพร้อมก่อนการดมยาสลบ

ก่อนการผ่าตัด สัตวแพทย์จะทำการตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยงอย่างละเอียด ซึ่งรวมถึงการตรวจเลือดเพื่อประเมินสุขภาพโดยรวม เช่น การทำงานของไตและตับ รวมถึงการประเมินความเสี่ยงเฉพาะด้านอื่นๆ ทั้งนี้ การตรวจอย่างรอบคอบจะช่วยให้สัตวแพทย์สามารถวางแผนการรักษาและการดูแลหลังผ่าตัดได้อย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการดมยาสลบ

การดูแลสัตว์เลี้ยงที่มีโรคประจำตัวควรได้รับการใส่ใจและวางแผนการรักษาอย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสัตว์เลี้ยงจะได้รับความปลอดภัยสูงสุดในทุกขั้นตอนของการรักษา

แหล่งที่มา : https://www.sanook.com/women/254705/

RELATED ARTICLES
- Advertisment -
Google search engine

Most Popular

Recent Comments